เป้าหมายชีวิต GOAL OF LIFE


“The number one reason most people don’t get what they want is that they don’t know what they want. 

เหตุผลอันดับหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ นั่นก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าต้องการอะไร”  T.Harv Eker


    เคยถามตัวเองไหมครับว่า “เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกัน?” ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนในโลกนี้ล้วนต้องมีเป้าหมายในชีวิตกันอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายในระดับการทำงาน หรือเป้าหมายของอนาคต การมีเป้าหมายชีวิตจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีพลัง เพราะเรามีเป้าหมายเป็นแรงบันดาลใจ บางคนมีเป้าหมายชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เช่น ตอนเป็นเด็กชื่นชอบกีฬาอย่างใดอย่างหนึ่งมากๆ และพยายามฝึกฝนให้เก่งขึ้นจนเป็นนักกีฬาทีมชาติหรือบางคน มีเป้าหมายเมื่อโตแล้ว เช่น อยากเป็นนักธุรกิจที่ทั้งรวยและใจบุญ ได้ช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนา เป็นต้น


    ถามว่าเป้าหมายชีวิตมีความสำคัญมากไหม? 

ตอบเลยว่ามาก ดังอุปมาว่า “เรือที่แล่นไปในทะเลโดยไม่มีทิศทาง ย่อมวนอยู่ในทะเลไม่ถึงฝั่ง ฉันใด ผู้ไม่มีเป้าหมายชีวิต ย่อมไปไม่ถึงความสำเร็จ ฉันนั้น” เป้าหมายชีวิตเป็นจุดหมายปลายทางของการดำเนินชีวิตของเรา หากเรามีเป้าหมาย ความคิด คำพูด และการกระทำทุกอย่างในแต่ละวันจะมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้หากไม่ตั้งเป้าหมายชีวิต เราก็จะไม่ต่างอะไรกับนกกาที่หากินเพื่อความอยู่รอดไปวันๆ เมื่อหมดอายุขัยก็ตายจากโลกนี้ไป


    ในทางปฏิบัติเราสามารถตั้งเป้าหมายได้เป็น 3 ระยะ คือ เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะกลาง และเป้าหมายระยะยาวการที่เป้าหมายใหญ่ หรือเป้าหมายระยะยาวจะสำเร็จได้ต้องเริ่มต้นจากทำเป้าหมายระยะสั้นให้สำเร็จก่อน เมื่อสำเร็จแล้วจึงค่อยขยับเป้าหมายให้สูงขึ้นไป


    ถึงตรงนี้บางคนอาจจะมีคำถามว่า เรายังไม่รู้ตัวเองเลยว่าเราต้องการอะไร แล้วจะตั้งเป้าหมายชีวิตได้อย่างไรกัน?


สาเหตุหลักที่ทำให้หาเป้าหมายชีวิตไม่เจอมาจาก 3  เรื่องหลัก คือ


1. ค้นหาผู้อื่นมากกว่าค้นหาตัวเอง ยกตัวอย่าง เช่น ปัจจุบันเราใช้เวลาไปกับโซเชียลมีเดียหลายชั่วโมงต่อวัน วันวันนั่งส่องเฟซบุ๊กชาวบ้าน หรือไปติดตามดูเรื่องคนอื่น จนลืมค้นหาตัวเองไม่เคยถามตัวเองว่าชอบอะไรอยากได้อะไรอะไรเป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข


2. ไม่ได้ลองทำในสิ่งใหม่ๆ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ค้นหาตัวเองอย่างจริงๆจังๆ หรือเพราะความกลัวและกังวลไปต่างๆ นานาทำให้ไม่กล้าลองสิ่งใหม่


3. อยู่แต่ในกรอบของสังคม หรือทำตามกระแส

สังคม เช่น เด็กวัยมัธยมปลายที่กำลังเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยในช่วงที่คณะวิศวกรรมศาสตร์หรือนิเทศศาสตร์เฟื่องฟูก็จะแห่กันไปสอบเข้าคณะนี้โดยที่ไม่ได้ถามตัวเองว่าชอบหรือไม่ทำให้ค้นพบตัวเองไม่เจอ หรือแม้แต่ในเรื่องการทำงานก็เช่นกันก็จะให้ความหมายในเรื่องของเงินและรายได้จำนวนมากเท่านั้นทำให้บางคนแม้จะมีเงินแต่ก็ไม่มีความสุขในชีวิต


วิธีค้นหาตัวเองให้พบ


1. ทำความรู้จักกับตัวเองอย่างจริงจัง ถาม

ตัวเองว่าเราชอบทำอะไร ไม่ชอบทำอะไร

สำรวจตนเองอย่างจริงจัง ความฝันและความ

หวังที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร ที่สำคัญคือ

เราสามารถอยู่กับสิ่งใดได้เป็นเวลานานๆ หรือ

เราอยู่กับสิ่งนั้นตลอดชีวิตได้ไหม? เพราะบาง

คนชอบ แต่ไม่สามารถอยู่กับสิ่งนั้นได้เป็น

เวลานานๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับตนเอง


2. หาอาชีพจากสิ่งที่ชอบเช่น บางคนชอบพูด

อาจจะหางานทางด้านเกี่ยวกับการสื่อสาร

การพูด บางคนชอบประดิษฐ์ก็หาอาชีพที่

เกี่ยวกับวิศวกรรม หรือวิทยาศาสตร์ดังนั้น

สำคัญที่สุดคือ ทำในสิ่งที่ชอบ


3. ลองทำในสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยลอง เปิด

โอกาสให้ตัวเองได้ทำในสิ่งใหม่ๆ เพราะการ

ได้ลองทำในหลายๆสิ่ง จะทำให้เราได้ค้นหา

ว่าเราชอบหรือไม่ชอบในสิ่งใด


4. ไม่กังวลในความสามารถของตนเอง

ถามตัวเองว่าเราอยากจะทำสิ่งนั้นไหม? ถ้า

เราอยากทำแล้ว จะมีแรงผลักดัน มีความ

พยายาม อย่าบั่นทอนกำลังใจตนเองว่าเราคง

ทำไม่ได้คนเราเกิดมาพร้อมกับความสามารถ

ในการเรียนรู้ผู้ชำนาญการทางสาขาต่างๆใน

โลกล้วนเกิดจากการเรียนรู้และฝึกฝนทั้งสิ้น


5. คบเพื่อนใหม่ต่างอาชีพ เพื่อเปิดมุมมอง

ใหม่ๆให้กับตัวเอง เรียนรู้จากเพื่อนหลาก

หลายอาชีพว่าแต่ละอาชีพมีวิธีการจัดการ

อย่างไร ซึ่งจะทำให้ความรู้เราหลากหลาย

และจะเป็นช่องทางที่ทำให้ได้ค้นหาตัวเอง

เร็วขึ้น


6. ขจัดความกลัว ความกลัวเป็นตัวปิดกั้น

ความสำเร็จ ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญ ถ้าเรา

ไม่สลัดความกลัวก็จะไม่สามารถก้าวไปลอง

ทำในสิ่งใหม่ๆ ได้เลย หลายๆ ท่านที่ประสบ

ความสำเร็จแล้ว ล้วนผ่านความกลัวมาทั้งสิ้น

แต่ทุกท่านก็ใช้คติว่า “ทำทั้งๆที่กลัว”


7. เมื่อค้นพบตัวเองแล้วให้ลงมือทำอย่าง

จริงจัง การทำจริงเป็นหัวใจของความ

สำเร็จ การทำนิดๆ หน่อยๆ แล้วล้มเลิกก็จะ

ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้


    สิ่งสำคัญที่เป็นแรงผลักดันให้คนประสบความสำเร็จคือ “การมีไอดอลหรือต้นแบบที่ชื่นชอบมากๆ ที่เห็นแล้วอยากจะเป็นตาม อยากจะทำตาม” แม้แต่พระอรหันต์อสีติมหาสาวกทั้ง 80 รูป ท่านล้วนแต่เป็นผู้มีความเป็นเอตทัคคะในด้านต่างๆ เมื่อสืบค้นเรื่องราวการสร้างบารมีของทุกๆรูปมาจะพบว่า แต่ละท่านได้พบต้นแบบที่เป็นไอดอลตั้งแต่พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบารมีในสมัยที่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์เมื่ออดีตของพระอสีติมหาสาวกได้ไปเจอหรือไปทำบุญกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แล้วได้เห็นต้นแบบจึงเกิดแรงบันดาลใจอยากจะเป็นแบบนั้นในอนาคต จึงตั้งเป้าหมายแล้วตั้งใจสั่งสมบุญบารมีอย่างมุ่งมั่น อธิษฐานจิตเพื่อให้ได้มาเป็นพระอสีติมหาสาวก ในยุคของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา


ในทางพระพุทธศาสนานั้น แบ่งเป้าหมายชีวิตไว้ 3 ระดับด้วยกัน คือ


1. เป้าหมายบนดิน หรือเป้าหมายชีวิตในระดับต้น

2. เป้าหมายบนฟ้า หรือเป้าหมายชีวิตในระดับกลาง

3. เป้าหมายเหนือฟ้า หรือเป้าหมายชีวิตในระดับสูงสุด


เป้าหมายบนดิน


    หมายถึง เป้าหมายระดับต้นของการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้นั่นคือการดำรงตนเป็นคนดีที่โลกต้องการ (คนดีในทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า สัตบุรุษ) รวมถึงการสร้างฐานะคือ บุคคลที่ไม่ว่าใครต่างก็พึงปรารถนา อยากที่จะคบหาและเข้าใกลให้มั่นคงได้ในภพชาตินี้ดังที่เราเห็นตัวอย่างความสำเร็จจากหลายๆ ท่าน ทั้งในระดับโลก ระดับประเทศ หรือแม้แต่รอบตัวเรา ที่แต่ละท่านเมื่อตั้งเป้าหมายชีวิตแล้ว ก็มุ่งมั่นฝึกฝนอดทนพยายามเพื่อให้บรรลุเป้าหมายชีวิตในระดับต้นให้ได้


    เป้าหมายชีวิตในระดับต้น มีหลักการสำคัญคือ “ต้องสร้างฐานะไปพร้อมกับการขัดเกลาคุณธรรมในตัวเอง” และ “การสร้างอาชีพตามความถนัดนั้นต้องเป็นสัมมาอาชีวะ” ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่เบียดเบียนใครรวมทั้งสามารถสร้างคุณประโยชน์หรือส่งมอบคุณค่าต่อให้แก่ผู้อื่นได้อีกด้วย จึงจะได้ชื่อว่า บรรลุเป้าหมายบนดิน


เป้าหมายบนฟ้า


    หมายถึง เป้าหมายระดับกลาง เป็นระดับที่สูงขึ้นมาจากเป้าหมายบนดิน เป้าหมายบนฟ้านี้มีความสำคัญต่อชีวิตของทุกๆ คน เพราะชีวิตของเราไม่ได้จบลงตรงที่เชิงตะกอนเท่านั้นชีวิตหลังความตายนั้นมีอยู่ เราทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดนับภพชาติไม่ถ้วน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนเราตายแล้วไม่สูญแม้หลับตาลาจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังมีโลกหน้ารอคอยอยู่อีกดังนั้น หากใครทำกรรมดีกรรมดีจะส่งผลให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ คนทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็จะนำไปเกิดในนรก รับโทษทัณฑ์ทรมานจากสิ่งที่ตนเองได้กระทำ


    ดังนั้น ผู้ที่วางแผนชีวิตไว้ดีแล้ว จะไม่ประมาทแค่เพียงทำมาหากินเท่านั้น แต่จะตั้งใจสั่งสมบุญทุกบุญ สร้างความดีทุกชนิด เพื่อที่ว่าผลบุญจะส่งให้เมื่อละโลกแล้วได้ไปสู่สุคติเมื่อหมดอายุขัยบนสวรรค์บุญจะนำพาให้มาเกิดในสภาพแวดล้อมที่ดีที่เป็นสัปปายะ ได้เจอแต่บัณฑิตนักปราชญ์กัลยาณมิตรและสร้างบุญต่อได้ไม่ตกหรือต้องถอยหลังชีวิตจะมีแต่รุดหน้าเรื่อยไป


เป้าหมายเหนือฟ้า


    คือ เป้าหมายชีวิตในระดับสูงที่สุด คือมุ่งหลุดพ้นจากทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ทุกชีวิตเมื่อยังไม่หมดกิเลสก็ยังต้องประสบทุกข์ต้องเจอกับปัญหาความยากจน ความเจ็บ ความโง่ มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป ตามกรรมที่ได้กระทำไว้หากดำเนินชีวิตผิดพลาดก็จะประสบทุกข์มากหากรู้วิธีดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง มีเป้าหมายชีวิตเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์แล้ว ก็จะหมดทุกข์ตามท่าน


    ผู้เห็นโทษภัยในวัฏฏสังสารจึงมุ่งปราบกิเลสทั้งปวงเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ซึ่งถือได้ว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป้าหมายในระดับนี้มีปรากฏเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่ปรากฏในคำสอนของศาสนาหรือลัทธิความเชื่ออื่นใดในโลกเลย


    การจะหมดทุกข์ได้ต้องมีความเพียร หมั่นฝึกฝนอบรมตนเองอย่างยิ่งยวดนับภพนับชาติไม่ถ้วน เรียกว่า การสร้างบารมี 10 ทัศ ได้แก่ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี


    บารมีทั้ง 10 ทัศ นี้เป็นสิ่งที่ผู้ตั้งใจฝึกตนเพื่อมุ่งหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ดังเช่นพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จะต้องฝึกตนสร้างบารมีให้บารมีเต็มเปี่ยมครบทั้ง 10 ทัศ จึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายเหนือฟ้าได้


    ผู้ที่มีเป้าหมายเหนือฟ้าเช่นนี้ ต้องใช้ความเพียรต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรคมากมาย ตลอดเส้นทางระหว่างการฝึกตนเพื่อบำเพ็ญบารมีในแต่ละภพชาติทั้งยังต้องต่อสู้กับ “กิเลสตนเองและกิเลสผู้อื่น” รวมถึง “วิบากกรรมชั่ว” ที่อาจจะเคยทำผิดพลาดไว้ในอดีต เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์จึงบรรลุเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ การกำจัดทุกข์ได้หมดสิ้นเป็น “พระอรหันต์” หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ไม่ต้องย้อนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป


    ดังนั้น คนฉลาดที่คิดได้เร็ว จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เป้าหมายสูงสุดของชีวิตคืออะไร ในระหว่างที่กำลังสร้างตัวสร้างฐานะเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบนดิน ก็ไม่ประมาทเร่งขวนขวายทำความดีสั่งสมบุญกุศล หมั่นให้ทาน รักษาศีลเจริญภาวนาอย่างเต็มที่ ตราบใดที่ชีวิตเรายังต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ บุญกุศลที่ได้สั่งสมไว้อย่างดีแล้วจะเป็นเสบียงในการเดินทางให้เราได้ไปสู่สุคติภูมิคือเป้าหมายบนฟ้าได้อย่างที่ตั้งใจ หรือถ้าเวียนมาเกิดใหม่ก็จะมีอุปกรณ์ในการสั่งสมบุญได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ชีวิตไม่ตกต่ำพลัดไปสู่อบาย


    และในการสั่งสมบุญทำความดีทุกอย่างนั้น ขอแนะนำให้อธิษฐานว่า “ขอให้บุญนี้เป็นปัจจัยสู่การบรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ การเข้าสู่พระนิพพาน” เอาไว้ด้วย แม้จะยังไม่เชื่อหรือไม่เห็นในชาตินี้ก็ตาม แต่การอธิษฐานเผื่อเหนียวไว้ไม่เสียหายอะไร ให้เป็นนิสัยติดตัวข้ามภพข้ามชาติไป จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต และเป็นการออกแบบชีวิตให้กับตัวเราเองในภพชาติต่อๆไป ให้มีเหตุปัจจัยเกื้อหนุนคํ้าจุนประคองชีวิตเรา ให้สามารถดำเนินไปในหนทางที่ถูกต้องของการสร้างบารมีแต่เพียงอย่างเดียว


    เมื่อความเพียรทั้งหมดในการสร้างบารมีที่ผ่านมาเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ในชาติใดชาติหนึ่งเบื้องหน้า เสมือนน้ำที่หยดทีละติ๋งจนเต็มตุ่มฉันใด บารมีที่เต็มเปี่ยมก็ย่อมสามารถส่งผลให้เราหมดกิเลส ได้เข้าสู่พระนิพพานหลุดพ้นจากวัฏสงสารในที่สุด

ดังพุทธพจน์ที่ว่า “นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ แปลว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง”


>> โปรดกดติดตาม เพื่อรับเรื่องราวดี ๆ ในครั้งต่อไป..


#หลวงพี่นะโม

#หนังสือจูนความคิดพิชิตความสำเร็จ 

#จูนความคิด #พิชิตความสำเร็จ #ความสำเร็จ #ความคิด #จูนความคิดพิชิตความสำเร็จ #tunningmind #successtory

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม