ความสุข (2) HAPPINESS
ความสุขทั้ง 4 ประเภท เกิดขึ้นได้อย่างไร
1. ความปลอดภัยเกิดขึ้นได้เมื่อมีศีล อย่างน้อยศีล 5 ไม่เบียดเบียนใคร การรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ข้ามภพข้ามชาติจะทำให้วิบากกรรมเบาบางลงๆ จนปลอดภัยจากการถูกเบียดเบียน แล้วยังมีอานิสงส์เผื่อแผ่ไปยังคนข้างเคียงอีกด้วย เช่น ถ้าในการเดินทางมีผู้มีศีลบริบูรณ์ร่วมทางไปด้วยการเดินทางนั้นก็ปลอดภัย เป็นต้น
2. ปัจจัยสี่หล่อเลี้ยงชีวิตอย่างเพียงพอ เกิดขึ้นได้เมื่อรู้จักการให้ทาน ความเอื้อเฟื้อความมีน้ำใจภายในใจ จะมีอานุภาพดึงดูดสมบัติเข้ามาหาเรา ไม่ว่าจะเป็นความเอื้อเฟื้อในเรื่องทรัพย์ความรู้ฯลฯ ตรงกันข้าม การไม่แบ่งปันเลย หรือความตระหนี่นั้น ก็มีอานุภาพผลักสมบัติทุกชนิดออกไปจากตัวเรา ดังเรื่องหนึ่งในสมัยพุทธกาล ความว่า
ที่เมืองสาวัตถีมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่ออานันทะ มีสมบัติมากถึง 80 โกฏิ แต่เป็นคนตระหนี่มากนอกจากไม่ทำบุญแล้ว ยังห้ามบุตรหลานทุกคนทำบุญอีกด้วยเมื่ออานันทเศรษฐีละโลกไปแล้ว วิบากกรรมของความตระหนี่ทำให้เขาไปเกิดในท้องของหญิงจัณฑาลที่ยากจนมาก หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน แม้แค่อยู่ในครรภ์มารดายังไม่คลอดออกมา จากที่เคยขอทานได้ก็ขอทานไม่ได้เลย เรียกว่า กลายเป็นคนจนในหมู่ยาจก
และวิบากกรรมความตระหนี่ของอานันทเศรษฐียังทำให้แม่ของตนเอง ไม่ว่าจะเข้ากลุ่มขอทานใด ก็พลอยทำให้กลุ่มนั้นยากลำบาก ทำให้หมู่คณะสงสัยว่า ต้องมีคนกาลกิณีอยู่ในกลุ่มแน่นอน จึงได้แบ่งกลุ่มออกเป็น 2 ฝ่าย และทดสอบว่าถ้าหญิงมีครรภ์ผู้นี้ไปอยู่ฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็จะตกยากลำบาก ขอทานไม่ได้ทุกครั้ง จนเป็นที่รังเกียจของผู้อื่นและถูกขับออกจากกลุ่มในที่สุด
เมื่อเด็กคนนี้คลอดออกมา ก็มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดพิกลพิการสารพัด สภาพเหมือนผีที่ตกลงไปในโคลนตม แต่ด้วยความรักจากมารดา แม้ลูกจะน่าเกลียดปานใดก็ไม่ทิ้งลูก
วันใดที่เอาลูกไปขอทานด้วย วันนั้นจะขอทานไม่ได้เลย แต่ถ้าวันใดที่ทิ้งลูกไว้ที่บ้าน แล้วตนออกไปขอทานคนเดียว ก็จะได้อาหารได้สิ่งของมาแค่พอประทังชีพเท่านั้น เมื่อเด็กน้อยโตขึ้น พ่อแม่จึงปรึกษากันว่า ตั้งแต่ตั้งท้องลูกคนนี้ชีวิตครอบครัวก็พบกับความอัตคัดขัดสนเรื่อยมา เมื่อลูกเริ่มดูแลตัวเองได้จึงมอบชามกระเบื้องให้ออกไปขอทานหากินเอง
เด็กน้อยจำใจต้องออกมาขอทานหากินเองแต่ไม่ว่าจะตะเกียกตะกายขอทานอย่างไร ก็ไม่ได้อะไรเลย จนกระทั่งโซซัดโซเซ เร่ร่อนไปจนถึงบ้านตัวเอง ด้วยสัญญาเก่าทำให้จำได้ว่า ตนเคยอยู่บ้านหลังนี้จึงเดินเข้าไปในบ้าน ฝ่ายลูกชายของเศรษฐีเห็นเด็กหน้าตาเหมือนผีเข้ามาในบ้าน จึงขับไล่ออกไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมพระอานนท์เสด็จผ่านมาพอดีจึงบอกกับลูกของเศรษฐีว่า เด็กที่หน้าเหมือนผีคนนี้อดีตชาติคือพ่อของเขาเอง ตอนแรกลูกเศรษฐีไม่เชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงให้เด็กขอทานชี้ขุมทรัพย์ที่เศรษฐีฝังไว้ใต้ดินทั้ง 4 แห่ง ซึ่งมีเพียงอานันทเศรษฐีคนเดียวเท่านั้น ที่รู้สถานที่ฝังทรัพย์เมื่อให้คนขุดดูก็พบว่ามีสมบัติจริงตามที่เด็กคนนี้ชี้ทุกประการ
3. ความสุขจากการเป็นที่ยอมรับของสังคม
เกิดขึ้นได้เมื่อยอมรับตัวเองและเห็นคุณค่าของตนเองก่อน เพราะไม่ว่าจะนำใจไปฝากไว้กับปัจจัยภายนอกอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ คน ก็ไม่ได้ทำให้ความสุขยั่งยืนเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงจีนสมัยโบราณในยุคหนึ่งมีค่านิยมรัดเท้าให้เหลือแค่ 3 นิ้ว เพราะบอกว่าเท้าโตดูน่าเกลียด กลายเป็นค่านิยมเท้าเล็กๆ จากเท้าดีดีกลายเป็นเท้าพิการเดินเหินก็ไม่มั่นคงค่านิยมนี้ทำให้ผู้หญิงจีนนับหลายร้อยล้านคน ต้องมีเท้าพิการจะเห็นได้ว่า การเอาความพึงพอใจไปผูกไว้กับปัจจัยภายนอกนั้นเสี่ยงต่อการมีทุกข์มาก และไม่แน่นอน การนำความพึงพอใจกลับมาไว้กับตัวเรานั้นย่อมแน่นอนกว่า
4. ความสุขจากความสงบภายใน เกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติธรรม คนทั่วไปมักจะแสวงหาทรัพย์ภายนอกซึ่งเป็นความสุขที่ไม่จีรัง หลายคนบรรลุเป้าหมายจากการมีทรัพย์มากแล้ว แต่เมื่อถึงเป้าหมายแล้วกลับพบว่า การมีทรัพย์มากไม่ได้ทำให้ตนเองมีความสุขอย่างแท้จริงซ้ำยังต้องคอยปกป้องทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความยากลำบากนั้นมากขึ้น มหาเศรษฐีที่มีทรัพย์มากพบว่า มีความสุขน้อยกว่าเศรษฐีปานกลาง เพราะต้องคอยดูแลและห่วงทรัพย์ที่มีมากขึ้นนั่นเอง จึงทำให้ไม่มีความสุข
แต่ก็มีมหาเศรษฐีของโลกอีกหลายท่าน ที่ไม่ได้ยึดติดกับทรัพย์สินที่มีเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์นักลงทุน นักธุรกิจและผู้ใจบุญชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงระดับโลก จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์พบว่าเขารวยติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกทุกปี เขาเป็นนักทำเงินที่เก่งที่สุดในโลก มีทรัพย์สินมากกว่า GDP ของประเทศกว่าครึ่งบนโลก แม้วอร์เรน บัฟเฟตต์จะร่ำรวยมากแต่เขาก็ใช้ชีวิตอย่างสมถะ และมีความเป็นอยู่ที่ประหยัดมากๆ ทั้งยังเป็นคนใจบุญ คอยแบ่งปันเอื้อเฟื้อทำการกุศลอยู่เสมอ
แม้ในสมัยพุทธกาล ก็มีพระราชาปกครองแคว้นหลายพระองค์ที่สละราชสมบัติทิ้งชีวิตที่สุขสบายออกบวชตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อแสวงหาความสุขภายในตัวอย่างเช่น พระมหากัปปินะ เดิมท่านเป็นพระโอรสของพระมหากษัตริย์ผู้ครองนครภุกฎวดีในปัจจันตชนบท เมื่อพระราชบิดาทิวงคตแล้วได้ครอบครองราชย์สมบัติสืบต่อมา ทันทีที่พระองค์ได้ยินคำว่า “พระรัตนตรัยเกิดขึ้นแล้วในโลก” ท่านสละราชสมบัติทันทีโดยไม่มีความลังเลหรือเสียดายเลยแม้แต่น้อย และออกบวชเพื่อบูชาธรรมแด่พระพุทธองค์เมื่อท่านปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ท่านมักจะเปล่งอุทานว่า “สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ” เสมอๆจนทำให้พระภิกษุทั้งหลายคิดว่าท่านยังรำลึกถึงความสุขจากราชสมบัติอยู่ จึงนำเรื่องไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธองค์แม้ทรงทราบเหตุแห่งเรื่องนี้แล้วก็ตามแต่ก็รับสั่งให้พระเจ้ามหากัปปินะเข้าเฝ้าแล้วตรัสถามเหตุแห่งการเปล่งอุทานให้ได้ยินกันทั่ว ณ ที่นั้น เพื่อให้ทุกรูปในที่นั้นคลายความสงสัย แล้วจึงตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย พระมหากัปปินะบุตรของเรานี้ เปล่งอุทานอย่างนั้น เพราะปรารภอมตมหานิพพาน เป็นการเปล่งเพราะความเอิบอิ่มในธรรม” หมายถึงพระมหากัปปินะท่านเปล่งคำนี้เพราะท่านมีความสุขมากจากภายใน และกำลังเอิบอิ่มในธรรมะที่ท่านกำลังเข้าถึง พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่าน ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้ให้โอวาทภิกษ
เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพชัดเจนถึงที่มาของความสุขทั้ง 4 ด้าน สรุปเป็นภาพได้ดังนี้
การมีความปลอดภัย เกิดขึ้นเมื่อ มีศีล
การมีปัจจัย 4 เลี้ยงชีวิตที่เพียงพอ เกิดขึ้นเมื่อ ให้ทานและรู้จักแบ่งปัน
การได้รับการยอมรับจากสังคม เกิดขึ้นเมื่อ ยอมรับตนเองและ เห็นคุณค่าตนเอง จากภายใน
การมีความสงบทางใจ เกิดขึ้นเมื่อ การปฏิบัติธรรม
หิยฺโยติ หิยฺยติ โปโส ปเรติ ปริหายติ
อนาคตํ เนตมตฺถีติ ญตฺวา
อุปฺปนฺนจฺฉนฺโท ปนุเทยฺย ธีโร
มัวรำลึกถึงความหลัง ก็มีแต่จะหดหาย
มัวหวังวันข้างหน้า ก็มีแต่จะละลาย
อันใดยังมาไม่ถึง อันนั้นก็ยังไม่มี
รู้อย่างนี้แล้ว เมื่อมีฉันทะเกิดขึ้น
คนฉลาดที่ไหนจะปล่อยให้หายไปเปล่า
ขุ.ชา.วีสติ 27/446
>> โปรดกดติดตาม เพื่อรับเรื่องราวดี ๆ ในครั้งต่อไป..
#หลวงพี่นะโม
#หนังสือจูนความคิดพิชิตความสำเร็จ
#จูนความคิด #พิชิตความสำเร็จ #ความสำเร็จ #ความคิด #จูนความคิดพิชิตความสำเร็จ #tunningmind #successtory
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น