ความสุข (1) HAPPINESS

    

    ความสุขเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต่างแสวงหา ทั้งยากดีมีจน หนุ่มสาวหรือแก่เฒ่า แม้แต่ผู้นำประเทศต่างก็แสวงหาสิ่งที่ทำให้ประเทศของตนเองมีความสุข องค์การสหประชาชาติเคยจัดลำดับความสุขจาก 156 ประเทศ ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 52 และจัดเป็นลำดับที่ 3 ของภูมิภาคอาเซียน มีการวิจัยถึงปัจจัยที่ทำให้คนมีความสุข พบว่าเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความร่ำรวยมีทรัพย์มาก การมีหน้าที่การงานที่ดีความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน การมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ การศึกษา ความเท่าเทียมกันในสังคม และในเพศชายหญิงการมีเสรีภาพทางการเมือง การไม่มีคอรัปชั่น เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีเกณฑ์วัดปริมาณความสุขของคนในประเทศต่างกันไป บางประเทศกำลังประสบปัญหาสงครามกลางเมืองทั้งผู้นำและคนในประเทศ คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความปลอดภัย และความสุขสงบกลับคืนมา เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ที่เป็นอยู


    จริงๆ แล้ว “ความสุข” ก็คือ ความทุกข์ที่หายไปนั่นเอง เมื่อความทุกข์น้อยลง ความสุขก็เพิ่มมากขึ้น สิ่งสำคัญอีกประการ ที่ทำให้คนเรามีความสุขมากขึ้นก็คือการปล่อยวางให้เป็น แม้กระทั่งความเจ็บป่วยทางกาย ถ้าเราปล่อยวางเป็นหรือคิดถึงความสุขได้ความทุกข์จะเข้าไม่ถึงใจ แม้เจ็บป่วยแต่ก็ยังมีความสุขได้ซึ่งมีให้เราเห็นไม่น้อย ที่คนป่วยเป็นคนให้กำลังใจคนมาเยี่ยมเสียเอง ถ้าใจมีความสุข ก็สามารถเอาชนะความเจ็บป่วยได้หรืออย่างน้อยที่สุดแม้ไม่หายจากโรค แต่เราก็จะไม่

อยู่อย่างเป็นทุกข์ดังเรื่องราวของอาจารย์เฉินเซียงเหวิน ที่คุณหนูดี วนิษา เรซ เคยแชร์เรื่องนี้ไว้ท่านเป็นผู้ที่สามารถเอาชนะความเจ็บป่วยจากโรคมะเร็งตับได้ด้วยจิตใจที่เบิกบาน

    อาจารย์เฉินเซียงเหวิน เป็นผู้อำนวยการฝ่ายจีนของมหาวิทยาลัยภาษาศาสตร์ปักกิ่ง สาขมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อท่านได้มาประจำการที่ประเทศไทย ได้ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับ จึงถูกส่งกลับไปรักษาตัวที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ท่านผ่าตัดเพื่อรักษามะเร็งตับไป 2 ครั้งรวมถึงทำคีโมและฉายรังสีแกมมาแต่ผลการรักษาได้ไม่ดีเท่าที่ควร แพทย์ถึงสองโรงพยาบาลใหญ่ในกรุงปักกิ่ง ไม่แนะนำให้ผ่าตัดหรือทำการรักษาต่อ แต่ให้ท่านกลับไป “สงบใจ” ที่บ้าน ซึ่งหมายความว่าการรักษาไปต่อไม่ได้


    เดชะบุญที่อาจารย์เฉิน ได้อ่านไปเจอบทความในวารสารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งว่า ที่หมู่บ้านตงหวาง มีการสอน “ทำจิตใจให้ร่าเริงเพื่อรักษาสุขภาพ” ท่านจึงได้ทดลองไปฝึก หลังจากเวลาผ่านไป 1 ปี ค่าดัชนีเลือดเริ่มกลับมาเป็นปกติอาจารย์เฉินหายขาดจากมะเร็งตับได้ 9 ปีเต็มแล้ว สุขภาพแข็งแรงจิตใจร่าเริงแจ่มใส จึงได้เขียนบทความเพื่อแชร์ประสบการณ์เป็นวิทยาทานแก่คนทั่วไป จนคุณหมอไพร (ไพรเวชคลินิก) ขอแปลมาเป็นภาษาไทย ทำเป็นหนังสือแจกฟรีให้ผู้ที่สนใจชื่อ “ปาฏิหาริย์แห่งความร่าเริงเบิกบาน”


    อาจารย์เฉินบอกว่า ทั้งก่อนและช่วงเป็นมะเร็ง ท่านเป็นคนค่อนข้างหงุดหงิดง่าย แต่เมื่อเป็นมะเร็ง และจะทดลองรักษาด้วยการฝึกจิตใจให้ร่าเริงเบิกบาน ทำได้ยากมาก เพราะไม่ใช่พื้นฐานนิสัยดั้งเดิมของตน ยิ่งตอนป่วยใกล้ตาย จิตยิ่งตกอย่างหนัก แต่ได้ฝืนตนเองด้วยการคิดว่า “ทำไมนัดผ่าตัด นัดคีโม นัดฉายรังสี แต่ละครั้งเจ็บปวดแสนจะทรมาน เรายังไม่เคยผิดนัด แล้วถ้าการยิ้ม การทำจิตใจร่าเริง ซึ่งไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ทำให้หายจากมะเร็งได้ เราจะไม่ทดลองยิ้ม หรือจะไม่ทดลองหัวเราะเหรอ? ทั้งๆ ที่ไม่ได้เสียอะไรเลย ทั้งเงินทองก็ไม่เสีย เจ็บตัวก็ไม่เจ็บ”


    คิดตรองได้ดังนี้อาจารย์เฉินจึงเริ่มฝึกจิตจนร่าเริง ทำให้อาจารย์เฉินสามารถก้าวข้ามจากจิตใจที่หงุดหงิดหดหู่ มาเป็นจิตร่าเริงได้อย่างเป็นรูปธรรม


    เทคนิคสำคัญที่อาจารย์เฉินแนะนำคือ “การรู้คุณ เป็นทางลัดสู่ความร่าเริงเบิกบาน” อาจารย์เฉินบอกว่า เมื่อใดที่เกิดจิตใจที่สำนึกและมีกตเวทิตาต่อสิ่งรอบข้างอย่างแท้จริงต่อผู้คน สิ่งของ สถานที่ เมื่อนั้นเราจะสามารถก้าวข้ามจากอารมณ์ที่หงุดหงิดจากการเจ็บป่วยมาสู่อารมณ์ที่เบิกบานได้อย่างเป็นรูปธรรม แม้ในช่วงแรกของการฝึกขอบคุณอาจจะรู้สึกฝืนกระทำ และไม่รู้ว่าจะขอบคุณอะไรดีก็ตาม แต่เมื่อขอบคุณบ่อยเข้า และออกมาจากใจอย่างเป็นธรรมชาติเราจะสัมผัสได้ถึงความอุ่นใจ และจะพบว่าโลกนี้น่าอยู่มีความหวังเรามีความสุขได้แม้ยามเจ็บป่วย


    จากเรื่องของอาจารย์เฉิน ทำให้รู้ว่า แท้จริงแล้วความสุขเป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างขึ้นได้เองซึ่งก็มีหลายวิธีเช่น


1. คบมิตรดีที่ทำให้เรายิ้มได้เพื่อนที่ดีจะช่วยปลอบช่วยเตือน ช่วยทำให้เรายิ้มและอารมณ์ดี

2. ยอมรับสิ่งดีดีที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แม้เรื่องดีดีจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่จงอย่าปฏิเสธที่จะรับไว้

3. มีเป้าหมายในชีวิต ทำในสิ่งที่รักหรือเรียนรู้สิ่งใหม่

4. ยึดมั่นในคุณธรรม ไม่เดือดร้อนตัวเองและผู้อื่น

5. ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น

6. พร้อมปรับใจรับการเปลี่ยนแปลงเสมอ

7. พอใจกับชีวิตง่ายๆ คิดบวกอยู่เสมอรู้จักพอเพียงใช้จ่ายที่เหมาะสมกับกำลัง

8. ให้ทานและรู้จักแบ่งปัน

9. ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย

10. นอนเร็วตื่นเช้าอยู่กับธรรมชาติบ้าง เช่น ปลูกต้นไม้

11. ออกกำลังกาย เป็นต้น

    จะเห็นได้ว่าความสุขเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน แต่เมื่อตกตะกอนแล้วจะพบว่า ถ้าขาดเรื่องใดเรื่องหนึ่งใน 4 เรื่องนี้มนุษย์เราจะไม่สามารถมีความสุขที่สมบูรณ์ได้เลย คือ


1. ความสุขจากความปลอดภัยเป็นความสุขแรกที่มนุษย์ต้องการ แม้อย่างอื่นจะดีเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าปราศจากความปลอดภัยแล้วก็มิอาจจะสุขได้ เช่น เศรษฐีมีเงินเป็นพันล้านแต่อยู่ในประเทศที่มีสงครามรอบข้าง มีแต่ความหวาดกลัวต่อการเสียชีวิต มีเงินมากก็ไม่มีประโยชน์เพราะใช้ซื้อความปลอดภัยไม่ได้


2. ความสุขจากมีปัจจัยสี่ที่เพียงพอปลอดภัยในชีวิตแล้ว ถ้าไม่มีบ้านอยู่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ก็ไม่มีความสุข ไม่มีข้าวกินก็ยิ่งเป็นทุกข์หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มียารักษาโรค ก็หาความสุขไม่ได้


3. ความสุขจากการยอมรับของสังคมเป็นความสุขที่ต้องการให้เป็นไปตามใจที่ต้องการ เช่น การใช้ของแบรนด์เนมแพงๆ ของเศรษฐีใหม่ๆ หรือแม้แต่ไม่ร่ำรวย แต่พยายามไขว่คว้ามาเป็นเจ้าของเพื่อให้ดูโก้หรู หรือบางคนก็ใช้วิธีการแปลกๆเช่น การเจาะตามร่างกาย เจาะหูเป็นรูใหญ่ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจให้คนอื่นมองดูหรือการแต่งตัวแปลกๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาเพราะอยากให้สังคมยอมรับ แม้จะยังไม่ยอมรับ แต่แค่ให้มีคนเหลียวมามองดูก็เกิดความพึงพอใจแล้ว หรือบางคนใช้การทำความดีเพื่อให้สังคมยอมรับ


    ความสุขในข้อ 1-3 ความปลอดภัย การมีปัจจัยสี่และการยอมรับจากสังคม ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าเป็น “อามิสสุข” คือ ความสุขภายนอกอันเนื่องมาจากวัตถุสิ่งของ จากทรัพย์สินเงินทอง หรือเกียรติยศชื่อเสียง ความสุขแบบนี้เป็นความสุขที่อยู่ประจำคู่โลกเป็นของไม่แน่นอน ไม่จีรังยั่งยืนและไม่ได้เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน ส่วนความสุขที่ยั่งยืนคือความสุขจากภายในหรือสุขที่เกิดขึ้นจากความสงบใจนั่นเอง


4. ความสุขจากความสงบใจเป็นความสุขขั้นสูงสุดที่ไม่อิงอามิสหรือวัตถุสิ่งของจากภายนอก เรียกว่า “นิรามิสสุข” ซึ่งเป็นความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมจนจิตใจมีความสงบนิ่งเกิดเป็นความสุขขึ้นภายในใจเป็นความสุขที่ยั่งยืนและเป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน


    ความสุขจากการเข้าถึงธรรมะภายในเป็นความสุขที่ละเอียดปราณีต และไม่สามารถนำความสุขแบบอามิสสุขมาเปรียบเทียบได้เลย เพราะอามิสสุขนั้นไม่จีรัง มีความทุกข์ซ่อนอยู่ทุกทาง ต้องคอยแก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอ


    ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ลงมือปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอทุกๆ วัน แสดงว่าเปิดโอาสให้ตัวเองได้พบกับความสุขที่แท้จริง ดังว่า “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” สุขอื่นยิ่งกว่าใจสงบไม่มี


>> โปรดกดติดตาม เพื่อรับเรื่องราวดี ๆ ในครั้งต่อไป..


#หลวงพี่นะโม

#หนังสือจูนความคิดพิชิตความสำเร็จ 

#จูนความคิด #พิชิตความสำเร็จ #ความสำเร็จ #ความคิด #จูนความคิดพิชิตความสำเร็จ #tunningmind #successtory

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม