ความคิดและตัวตน THOUGHT AND CHARACTER
“ Your character being the complete sum of all
your thoughts--ตัวตนของคุณ คือผลรวมของความคิดคุณ
ทั้งหมด” - James Allen
เป็นประโยคหนึ่งที่เจมส์อัลเลน ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ
ว่า As A Man Thinketh ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีทั่วโลกยาวนาน
กว่า 111 ปี ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1902 ความมหัศจรรย์คือ
แม้เวลาจะผ่านมายาวนานกว่าร้อยปีแต่หลักการที่เป็นหัวใจ
หลักๆ ยังคงใช้ได้อยู่แม้ในปัจจุบัน
เจมส์อัลเลน เป็นชาวอังกฤษ จากประวัติของเขามีความ
สนใจด้านจิตและการนั่งสมาธิผู้เขียนคิดว่าจากประสบการณ์
ส่วนตัวและจากการปฏิบัติสมาธิของเขาเอง ทำให้เขาแตกฉาน
เรื่องจิตอย่างลึกซึ้ง เนื้อหาเต็มๆของบทนี้มีว่า
The aphorism. “What you think, you are,” not only
embracesthe wholeofyour being, but issocomprehensive
astoreachout toeveryconditionand circumstanceofyour
life, Your are literally what you think, your character being
the complete sum of all your thoughts.
ความหมายของเนื้อหาส่วนนี้ผู้เขียนขอเรียบเรียงเพื่อให้
เข้าใจง่ายๆซึ่งมีความหมายว่า
คติพจน์ที่ว่า “คุณคิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น”
ครอบคลุมทุกอย่างในชีวิต ทั้งสภาพที่เป็นตัวเรา ทุกสถานการณ์
ที่เกี่ยวข้องในชีวิตเรา ล้วนเป็นผลสะท้อนมาจากความคิดของเรา
ดังที่เจมส์อัลเลน ได้สรุปไว้ในประโยคสุดท้ายไว้ว่า “ตัวตน
ของเรา คือผลรวมของความคิดเราทั้งหมดนั่นเอง”
เกี่ยวกับเรื่องความคิดหรือจิต ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของ
มนุษย์นั้น ผู้เขียนนึกถึงเรื่องราวในสมัยพุทธกาลเรื่องหนึ่ง มาเล่า
ให้ทุกท่านฟังพอสังเขป
มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อมัฏฐกุณฑลีพ่อของเขาเป็นเศรษฐีชื่อ
อทินนปุพพกะ ซึ่งเป็นเศรษฐีที่มีความตระหนี่มาก ไม่เคยทำบุญ
หรือบริจาคทานให้แก่ผู้ใดเลย แม้แต่ทำเครื่องประดับให้เขา
ซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆ เศรษฐีก็ลงมือทำให้เอง เพราะเสียดายเงิน
ค่ากำเหน็จที่จะต้องจ่ายให้กับช่างทอง
ต่อมาเมื่อมัฏฐกุณฑลีป่วย แทนที่พ่อเขาจะไปจ้างหมอ
มารักษา ก็กลับใช้ยากลางบ้านมารักษาตามมีตามเกิด จนกระทั่ง
อาการป่วยของเขาทรุดลงเรื่อยๆ จนหมดหนทางรักษาและรอ
แต่วันตาย เศรษฐีจึงย้ายตัวเขาไปนอนที่ระเบียงแทน เพราะกลัว
เวลาเพื่อนบ้านมาเยี่ยมไข้แล้วจะเห็นสมบัติของตน
ต่อมาในเช้าวันนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงออกจาก
ฌานสมาบัติแล้วจึงทำการตรวจดูเวไนยสัตว์ก็ได้พบมัฏฐกุณฑลี
ปรากฏอยู่ในข่ายพระญาณที่พระองค์สามารถไปโปรดได้พระองค์
จึงเสด็จไปยืนอยู่ที่ใกล้ประตูบ้านของอทินนปุพพกเศรษฐีและทรง
เปล่งฉัพพรรณรังสีไปยังที่ที่มัฏฐกุณฑลีนอนอยู่
เดิมมัฏฐกุณฑลีนอนหันหน้าเข้าหาตัวเรือน เมื่อเห็นความ
สว่างเย็นตาของฉัพพรรณรังสีจึงหันกลับมาทางแสงนั้นและ
เห็นพระบรมศาสดายืนประทับอยู่ มัฏฐกุณฑลีมีความเลื่อมใส
เป็นอย่างยิ่ง แต่เขาป่วยหนักจนไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย
จึงน้อมใจรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกด้วย
ความเลื่อมใส และเสียชีวิตลงในขณะนั้นเอง หลังจากเสียชีวิตแล้ว
เขาได้ไปบังเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เทพบุตรมัฏฐกุณฑลีมองลงมายังมนุษยโลกด้วยตาทิพย์
เห็นบิดาของตนไปร้องไห้อยู่ในป่าช้า จึงได้แปลงตัวเป็นชายชรา
รูปร่างเหมือนมัฏฐกุณฑลี และบอกบิดาของเขาว่า บัดนี้เขาได้ไป
เกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วขอให้บิดาคลายความเศร้าโศก
และให้บิดาทูลนิมนต์พระบรมศาสดามารับภัตตาหารที่บ้าน
ที่บ้านของอทินนปุพพกเศรษฐีก็มีการตั้งคำถามขึ้นมาว่า
“เป็นไปได้หรือที่บุคคลตายแล้วจะไปเกิดบนสวรรค์? เพียงแค่
ทำใจให้มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าเท่านั้น โดยไม่มีการถวายทาน
และรักษาศีลแต่ประการใดทั้งสิ้น?”
พระศาสดาจึงทรงอธิษฐานจิตให้มัฏฐกุณฑลีมาปรากฏ
ในร่างของเทพบุตร พร้อมด้วยเครื่องประดับที่เป็นทิพย์เทพบุตร
ได้ยืนยันผลบุญของการทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธองค์ต่อหน้า
คนที่มาชุมนุมกันอยู่ที่บ้านเขา ทุกคนจึงเกิดความมั่นใจว่า
มัฏฐกุณฑลีไปเกิดบนสวรรค์แล้ว ด้วยเหตุที่เพียงทำใจให้มีศรัทธา
เลื่อมใสในพระบรมศาสดา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงได้ตรัสอย่างชัดเจนว่า
“มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติวา กโรติวา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาวอนุปายินี”
แปลว่า “ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่
สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่
ก็ดี ความสุขย่อมติดตามเขาไป เพราะเหตุนั้น เหมือนเงา
ติดตามตัวไปฉะนั้น.” (ขุ.ธ.อ 40/11)
สิ่งที่มีอิทธิพลต่อตัวเราเองอย่างมากก็คือ ความคิด
ถ้าเราคิดไปในทางเสียหายหรือคิดลบ สิ่งไม่ดีทั้งหลายก็จะตามมา
แต่ตรงกันข้าม ถ้าเราคิดดีมีจิตใจที่ผ่องใส หรือคิดบวก สิ่งดีดี
ก็จะตามมาเช่นกัน
ใจของเราจึงเปรียบเสมือนแม่เหล็ก ที่มีคลื่นความถี่ใน
การดึงดูดสิ่งต่างๆ เข้ามาหาตัวเราได้ตามความคิดของเราเอง
ดังนั้น ชีวิตของเราจะดีหรือไม่ จะเป็นในทางบวกหรือลบ
จึงขึ้นอยู่กับความคิดของเราเอง
มีนักแสดงท่านหนึ่ง ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าวงการบันเทิง
มีรูปร่างที่ผอมแห้งมาก สิวเต็ม และดูก๋องแก๋ง แต่นักแสดงท่าน
นี้มีหลักคิดที่น่าสนใจคือ ไม่ว่าใครๆ รอบตัวจะมองเขาอย่างไร
ก็ตาม แต่เขามักจะชมตัวเองอยู่เสมอ เวลาส่องกระจกก็มักจะ
ชมตัวเองว่า “ทำไมเราถึงได้หล่ออย่างนี้นะ” เขาบอกแม่ว่าจะไป
สมัครเป็นดาราจนแม่เขาเองส่ายหัวและคิดว่าลูกชายตนบ้าแน่ๆ
แต่เขาก็เพียรชมตัวเองทุกวันโดยไม่เบื่อเลย ดาราท่านนี้
ไม่ได้ชมตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีความคิดและความ
มั่นใจว่า ตนเองจะต้องดูดีได้และเป็นดาราได้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ก็พยายามออกกำลังกายและฝึกเทรนด์นิ่งร่างกาย
ทุกวัน เวลาผ่านไป 8 เดือน ไม่น่าเชื่อว่าจากหุ่นผอมแห้งเหมือน
ไม้กลายเป็นหนุ่มหล่อหุ่นล่ำราวกับเป็นคนละคน ต่อมาเขาจึง
ไปสมัครเป็นดารา ตอนสมัครเขาเล่าว่า มีคนมาสมัครเยอะมาก
แต่ว่าแต่ละคนก็มีบุคลิคแตกต่างกันไป เหมือนไม่ได้ตั้งใจมาเป็น
ดารา แต่ตัวเขาคิดตั้งแต่ออกจากบ้านว่าเขาเป็นดาราแล้ว ทำให้
ท่าทีและบุคลิกในการสัมภาษณ์ของเขาดูโดดเด่นและแตกต่าง
จากคู่แข่งอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ปัจจุบันเขาเป็นดาราตามที่ได้ตั้งใจไว้
สำเร็จเรียบร้อย จนมีวลีเด็ดประจำตัวว่า“หลอกตัวเองจนเป็นจริง”
สิ่งสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและบรรลุใน
เป้าหมายที่เขาตั้งใจทั้งหมด มาจากความคิดที่เป็นจิตใต้สำนึก
ของเขานั่นเอง
“All that weareistheresultof what wehavethought.
The mind iseverything. What wethink, we become.”
ทุกสิ่งที่เราเป็น คือผลพวงของความคิด ความคิด
คือทุกสิ่ง เราคิดอะไร ก็จะเป็นแบบนั้น
>> โปรดกดติดตาม เพื่อรับเรื่องราวดี ๆ ในครั้งต่อไป..
#หลวงพี่นะโม
#หนังสือจูนความคิดพิชิตความสำเร็จ
#จูนความคิด #พิชิตความสำเร็จ #ความสำเร็จ #ความคิด #จูนความคิดพิชิตความสำเร็จ #tunningmind #successtory
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น