เลือก A CHOICE
“ Everyone in the world should get a standing
ovation at least once in their life.” - Auggie
.. เป็นวลีดังฮิตติดปากในช่วงปลายปี 2560 จากวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง WONDER ที่ติดอันดับ 1 ของ New York Times Bestseller นานถึง 89 สัปดาห์ ภายหลังตีพิมพ์เป็นฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า “ชีวิตมหัศจรรย์ของออกัสต์”
.. WONDER เป็นผลงานเขียนของอาร์ เจ ปาลาซิโอ (R.J.Palacio) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2012 โดยมีแรงบันดาลใจในการเขียนมาจากวันที่ เธอพาลูก ๆ ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแล้วพบกับเด็กที่มีใบหน้าผิดปกติ กำลังต่อคิวซื้อไอศกรีมอยู่ เธอเห็นลูกชายของเธอจ้องมองเด็กคนนั้นตาไม่กระพริบ เธอจึงรีบไปดึงลูกของเธอให้ออกมา เพราะกลัวว่าลูกของเธอจะทำให้เด็กคนนั้นรู้สึกไม่ดี แต่กลับกลายเป็นว่าการกระทำของเธอ ยิ่งทำให้เด็กที่มีใบหน้าผิดปกติคนนั้นรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม และเธอเองก็รู้สึกแย่มากเช่นกัน เธอจึงไถ่โทษตัวเองด้วยการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น
.. ต่อมา WONDER ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ โดยการกำกับของ สตีเฟน โชโบสกี (Stephen Chbosky) โดยเนื้อเรื่องมีอยู่ว่า..
.. ออกัสต์ (อ๊อกกี้) พูลแมน (Auggie Pullman) เป็นเด็กชายที่ป่วยด้วยโรคปากแหว่ง เพดานโหว่ตั้งแต่แรกเกิด เพราะความผิดปกติทางใบหน้านี้ ทำให้อวัยวะบางอย่างไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดใบหน้าถึง 27 ครั้ง อ๊อกกี้ ถูกครอบครัวเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นอยู่แต่ภายในบ้าน ภายใต้การให้ความรู้จากผู้เป็นแม่แทนการเข้าเรียนในโรงเรียนปกติเหมือนเด็กคนอื่น ๆ
.. อ๊อกกี้ มักจะสวมหมวกอวกาศอยู่เสมอ ด้วยเพราะเขาเป็นเด็กที่ชอบสตาร์วอร์สเป็นอย่างมาก และเพื่อปิดบังใบหน้าของตนเองจนกระทั่งเขาอายุได้ 10 ขวบ แม่จึงตัดสินใจส่งเขาเข้าเรียน ป.5 เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับโลกของความเป็นจริง การก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนของอ๊อกกี้จึงเป็นย่างก้าวที่สำคัญที่เขาจะต้องเผชิญหน้า และรับมือกับการที่จะใช้ชีวิตให้เหมือนคนปกติให้ได้
.. การดูชีวิตอ๊อกกี้ผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่าจริง ๆ แล้ว อ๊อกกี้ ก็เป็นเด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ต้องการความรักความอบอุ่น และมีความชื่นชอบความตื่นเต้นเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป บ้าหนังสตาร์วอร์ส ชอบกินไอศกรีม และติดเกมส์
.. การเล่าเรื่องผ่านมุมมองต่าง ๆ ของคนที่อยู่ล้อมรอบอ๊อกกี้ทั้งพี่สาวเพื่อนสนิท เป็นไฮท์ไลต์ที่ทำให้เราเห็นเหตุผลในการกระทำของแต่ละคน ทำให้ผู้เขียนย้อนถามและทบทวนตัวเองว่า “บ่อยแค่ไหนที่เราเผลอไปตัดสินใครบางคนผิดพลาดไป จากการมองเพียงแค่มุมเดียว ?”
.. WONDER เป็นภาพยนตร์ที่ให้ข้อคิดเรื่อง “การตัดสิน” ได้เป็นอย่างดีเวลามีเหตุการณ์อะไรสักอย่างเกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม การเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องที่เรากำลังประสบอยู่ และมองหลาย ๆ มุม อาจจะทำให้เรามองเห็นปัญหาหรือเห็นทางแก้ได้ชัดเจนขึ้น ทั้ง R.J.Palacio และ Stephen Chbosky ต่างก็อยากบอกเราผ่านตัวละครอ๊อกกี้ว่า “เราไม่สามารถตัดสินใครจากเพียงแค่เปลือกภายนอกได้”
.. เหมือนกับอ๊อกกี้เอง ที่ได้แสดงให้เพื่อน ๆ รู้ว่า จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้แตกต่างกับเพื่อนเลยสักนิด ซ้ำยังมีความโดดเด่นในเรื่องอื่นมากกว่าเพื่อน ๆ เสียอีก และเพื่อน ๆ ของเขาเองเมื่อได้คบกันไปนาน ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างของเขาเลยสักนิด แต่กลับยิ่งรู้สึกทึ่งในตัวเขาจนมองข้ามจุดด้อยของเขาไปเลย ตอนจบของเรื่องนี้อ๊อกกี้ได้รับรางวัลจากครูใหญ่ และทำให้เขาพูดวลีเด็ดนี้ “Everyone in the world should get a standing ovation at least once in their life.” ซึ่งแปลว่า ทุกคนในโลกควรได้รับ การยืนขึ้นปรบมือต้อนรับอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต
.. อ๊อกกี้ภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ที่สามารถผ่านบททดสอบอันหนักหน่วงมาได้ จึงอยากบอกผู้คนทั้งหลายให้มองข้ามจุดบกพร่องของตัวเองไป หลายคนเลือกโฟกัสแต่ข้อบกพร่องจนทำให้มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง หากเรายังมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองแล้วคนอื่นจะมองเห็นได้อย่างไร?
.. อุปมาเหมือนกระดาษเปื้อนหมึกดำเล็ก ๆ เพียงจุดเดียว
ถ้าเราโฟกัสกระดาษเราจะเห็นแต่สีขาว แต่ถ้าเราเพ่งมองแต่จุดดำ
เราก็จะเห็นแต่รอยเปื้อนนั้น คนเราทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง
ทั้งสิ้น หากเราเลือกโฟกัสแต่จุดดีและข้อดีของตัวเราเอง เราจะ
สามารถสร้างคุณค่าและประโยชน์ใหญ่ให้เกิดขึ้นได้อีกมากมาย
.. ผู้เขียนชอบคำแปลที่โปรยไว้หน้าปกของหนังสือเล่มนี้
ว่า “เลือกจะประหลาด หรือ เลือกจะมหัศจรรย์” เพราะ
คำศัพท์ Wonder แปลความหมายได้ทั้งสองแบบ ผู้เขียนคิด
ว่าว่าอาร์เจ ปาลาซิโอ ต้องการให้นัยยะกับผู้อ่านได้ทบทวนและ
บอกเราให้เห็นความสำคัญของการ “เลือก” ว่า
คนเรามีต้นทุนชีวิตที่ต่างกันก็จริง
แต่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะ “เลือก”
สิ่งที่ดีให้กับชีวิตได้เท่าๆ กัน
เลือกอย่างไรให้ถูกต้อง ?
.. หลายท่านอาจจะมีคำถามว่า เมื่อเราทุกคนมีสิทธิ์เลือก
ให้กับชีวิตของเราเองแล้ว เราควรจะมีหลักการตัดสินอย่างไร
ว่าสิ่งใดเป็นความดีสิ่งใดเป็นความชั่ว และการเลือกของเราจะ
ถูกต้อง ไม่กระทบทั้งตัวเราเองและผู้อื่น?
.. เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่
ก็เคยมีคนสงสัยในเรื่องนี้เหมือนกัน ซึ่งท่านให้หลักไว้สั้น ๆ ว่า
1. เดือดร้อนเขา เดือดร้อนเราจัดเป็นกรรมชั่วแน่นอน
2. เดือดร้อนเรา แต่สบายใจเขา ก็จัดเป็นกรรมชั่วเช่นกัน
เช่น เพื่อนแกล้งเรา เพื่อนสนุกแต่เราเดือดร้อน เป็นต้น
3. เราสบายใจ แต่เขาเดือดร้อนใจ ก็จัดเป็นกรรมชั่ว
เหมือนกัน เช่น การล้อปมด้อยเพื่อน เราสนุกแต่เพื่อน
ทุกข์ใจ
4. ไม่ร้อนเขา ไม่ร้อนเรา ตรงกันข้ามคือ เย็นทั้งเขา
เย็นทั้งเรา นั่นคือ กรรมดี
ส่วนกรรมชั่วแบ่งได้เป็น 3 ทาง คือ
.. กรรมชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ประพฤติ
ผิดในกาม ดื่มน้ำเมาเสพยาเสพติด ซึ่งก็คือ ศีลข้อ 1-3,5 นั่นเอง
.. กรรมชั่วทางวาจา เกี่ยวกับคำพูด ตั้งแต่พูดเท็จ พูดคำหยาบ
พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ประเภทน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
.. กรรมชั่วทางใจ คือ คิดโลภ อยากได้ของเขา คิดพยาบาท
จองล้างจองผลาญเขา คิดเห็นผิดเป็นชอบ คิดโง่ ๆ คิดอิจฉาริษยา
.. สรุปย่อๆได้ว่า
ทำอะไรแล้วใจขุ่นมัว นั่นคือ กรรมชั่ว
ทำอะไรแล้วใจใส ยิ่งทำยิ่งใส นั่นคือ กรรมดี
.. เราทุกคนมีสิทธิ์ในการเลือกหรือตัดสินใจเองทุกคน ซึ่งไม่ว่า
จะเลือกอย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกท่านยึดหลักของการพิจารณานี้
ไว้เพื่อจะได้ไม่เดือดร้อนใจในภายหลัง
“ When given the choice between being right or
being kind, choose kind.”
เมื่อคุณจะต้องเลือกระหว่าง
ความถูกต้องกับความดี จงเลือกความดี
-- Auggie’s teacher (คุณครูของอ๊อกกี้)
>> โปรดกดติดตาม เพื่อรับเรื่องราวดี ๆ ในครั้งต่อไป..
#หลวงพี่นะโม
#หนังสือจูนความคิดพิชิตความสำเร็จ
#จูนความคิด #พิชิตความสำเร็จ #ความสำเร็จ #ความคิด #จูนความคิดพิชิตความสำเร็จ #tunningmind #successtory
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น