คน 3 คน THE 3 MEN

.. เคยตั้งคำถามกับตัวเองบ้างไหมว่า  “เราจะพัฒนาตนเองให้ก้าวไปสู่จุดที่ดีขึ้นได้อย่างไร ?”  ผู้เขียนถามตัวเองอยู่บ่อย ๆ  และเป็นแรงผลักดันให้ผู้เขียนพยายามแสวงหาคำตอบให้กับตัวเองเรื่องนี้มาโดยตลอด


.. โลกเรามีประชากรมากมายกว่า  7,600  ล้านคน  เราต่างมีโอกาสได้พบปะเจอคนนับไม่ถ้วน  ทั้งรู้จักสนิทสนมใกล้ชิด  และนับไม่ถ้วนที่เป็นแค่เพียงคนที่เดินสวนทางกันไป  จิม รอห์น (Jim Rohn)  ปรมาจารย์ด้านการพัฒนาตนเองเคยพูดไว้ว่า  “เราคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราใช้เวลาด้วยมากที่สุด”  ทั้งเรื่องแนวคิด  การใช้ชีวิต  และรายได้หรือพูดง่าย ๆ  คือ  ถ้าคนรอบตัวเราดีเราก็จะดีไปด้วย  แต่ในชีวิตจริง  การจะไปแสวงหาคนล้อมรอบตัวเรา  ให้มีแต่คนดีดี  เก่ง ๆ  เจ๋งๆ  นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  แล้วเราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวเราให้เวิร์คได้ไหม ?  ถ้าเราอยากรู้จักหรือดำเนินตามปฏิปทาของคนเก่ง ๆ  ระดับโลก แล้วเราจะทำอย่างไร ?


.. ในความหมายของประโยคที่  จิม รอห์น (Jim Rohn)  ได้กล่าวไว้ไม่ได้เจาะจงว่าเราต้องได้ทำงานหรือพูดคุยกับบุคคลเหล่านั้นโดยตรง  แต่อาจจะเป็นการรับรู้เรื่องราวหรือแนวคิด  ที่ถ่ายทอดทางสื่อที่เราเลือกดูได้เช่น  Facebook  Youtube  IG  หนังสือ  หรือแม้กระทั่ง  Blog  ส่วนตัวของคนเหล่านั้น  นั่นก็เท่ากับว่าเราได้เลือกสิ่งแวดล้อมที่ใช่และเวิร์คให้กับตัวเราเองแล้ว

.. ในค่าเฉลี่ยของคน 5 คน  หรือสภาพแวดล้อมรอบตัวเรานั้น  จะเวิร์คได้ต้องประกอบด้วย 3 อย่างนี้คือ  


.. “คนดี หรือ ความดี”  --  คนดีหรือสิ่งที่เป็นความดี  จะทำให้เราจิตใจอ่อนโยน  ไม่เบียดเบียน  ใครอยู่ใกล้ก็อุ่นใจ  เหมือนได้พักพิงอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่


.. “คนเก่ง  หรือ  ศาสตร์แห่งความสำเร็จ”  --  การใกล้ชิดคนเก่ง  จะทำให้เราได้เรียนรู้ทั้งวิธีคิดและการทำงานมีเรื่องราวให้เราได้เรียนรู้นับไม่ถ้วนในโซเชียลมีเดีย  โนว์ฮาวดีดีมีเป็นล้านคลิปทั้งใน  Youtube  และ  Facebook  หรือ  Blog  ส่วนตัว  การศึกษาและทำตามคนเก่ง  เราก็จะ  “เก่ง”  ตามไปด้วย


.. “คนมีความสุข  หรือ  ศาสตร์แห่งการใช้ชีวิต”  --  คนที่มีความสุขจะมีหลักในการใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลย์  เราจะสังเกตได้ว่าผู้มีความสุข  มักจะเป็นผู้มีความสงบภายใน  และรักการปฏิบัติธรรม  เขาจะมีรอยยิ้มน้อย ๆ  ปรากฎบนใบหน้าตลอดเวลา  อยู่ใกล้คนมีความสุขจะทำให้เรา  “สุขใจ”  ไปด้วย  เพราะเขาจะมีวิธีคิด  วิธีมองโลกในมุมบวกเสมอ  ปัจจุบันมีความรู้ดี ๆ  เกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้มีความสุขอยู่มากมายให้เราเลือกศึกษา


.. การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับตัวเรา  เรียกง่าย ๆ  คือ  การเลือกคบคนนั่นเอง  ซึ่งมีความสำคัญมาก  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จัดไว้เป็นมงคลชีวิตในข้อ 1 และ 2  เป็นนัยยะว่า  หากชีวิตของผู้ใดไม่คบคนพาล  และคบแต่บัณฑิต  ชีวิตผู้นั้นจะไม่ตกต่ำดังคำว่า...  

“ตครํ ว ปลาเสน โย นโร อุปนยฺหติ ปตฺตาปิ สุรภี วายนฺติ เอวํ ธีรูปเสวนา” 

คนห่อกฤษณาด้วยใบไม้  แม้ใบไม้ก็หอมไปด้วย  ฉันใด  การคบกับนักปราชญ์ก็ฉันนั้น  (โพธิสตฺต ขุ.ชา.วีส. 27/437.)


.. นอกจากนี้  การไม่คบคนพาล  และคบบัณฑิต  ยังรวมไปถึงการคบบัณฑิตภายใน  และไม่คบพาลภายในอีกด้วย  ซึ่งหมายให้เราย้อนกลับมาพิจารณาตัวเราเองว่า  เราเป็นคนพาลเสียเองหรือเปล่า ?  หรือเราได้เป็นบัณฑิตให้กับตัวเองบ้างไหม


.. ครั้งหนึ่ง  แจ๊คหม่า  (Jack Ma)  เจ้าพ่อการค้าโลกออนไลน์แห่งอาลีบาบา  ได้เคยพูดถึงแง่มุมของการใช้ชีวิตของคนบนโลกไว้ว่า  การที่จะชี้วัดว่าคน ๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จในชีวิต  และสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคมได้นั้น  เพียงแค่การวัดด้วย  IQ 1  และ  EQ 2  นั้นก็ไม่พอเสียแล้ว  แต่บุคคลผู้นั้นจะต้องมี  LQ 3  ด้วย  ซึ่งโดยนัยยะของเขา  คือ  คนเราจะต้องมีความรักการแบ่งปัน  และการเอาใจใส่ต่อกัน  จึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

.........................................

1     IQ  (Intelligence Quotient)  คือ  ความฉลาดทางสติปัญญา  สติปัญญา  เป็นความสามารถในการคิด  วิเคราะห์การคำนวณ  และการใช้เหตุผล

2     EQ  (Emotional Quotient)  คือ  ความฉลาดทางอารมณ์  เป็นความสามารถในการรับรู้เข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่น  สามารถควบคุมอารมณ์  และยับยั้งชั่งใจตนเองและแสดงออกอย่างเหมาะสม

3     LQ  (Love Quotient)  เป็นคำที่แจ๊ค หม่า  เคยพูดไว้ในสุนทรพจน์  ซึ่งโดยทฤษฎีมีความหมายเทียบเท่ากับ  SQ  (Social Quotient)  คือความฉลาดทางสังคม  ที่คนเราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม  ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีน้ำใจเอื้ออาทรต่อกัน

.........................................

.. จากคำพูดนี้ของแจ๊คหม่าสะท้อนให้เห็นความจริงข้อหนึ่ง  คือ  ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปไกลเท่าใดก็ตาม  แต่สิ่งหนึ่งที่โลกต้องการไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยก็  คือ  คนดีที่เป็นบัณฑิต  มีความรัก  ความเอื้ออาทร  ให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน


 .. ส่วนการที่จะทำให้ตัวเราเป็นคนที่ทั้งเก่ง  ดี  และประสบความสำเร็จได้นั้น  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงให้หลักไว้ 7 ข้อด้วยกัน  คือ


   1. ต้องเป็นผู้รู้จักเหตุ  (ธัมมัญญู)  หมายถึง  เห็นอะไรเกิดขึ้นก็สามารถมองออกได้ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุอะไร


   2. ต้องเป็นผู้รู้จักผล  (อัตถัญญู)  หมายถึง  เห็นอะไรก็สามารถบอกได้ว่า  เป็นสัญญาณว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต  เพราะจะสามารถวางแผนการดำเนินงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด  ดังที่เรามักจะได้ยินบ่อย ๆ ว่า  เป็นผู้มีวิสัยทัศน์นั่นเอง


   3. ต้องเป็นผู้รู้จักตน  (อัตตัญญู)  หมายถึง  รู้จักตัวเอง  รู้จักคุณธรรม  ความรู้  ความสามารถของตัวเองว่าเป็นอย่างไร  หรือพูดง่าย ๆ ว่า  รู้จักจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองไม่หลงไปตามกระแส


.. บิล เกตส์  ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์  เจ้าพ่อวงการซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่รวยที่สุดในโลก  เขากับเพื่อนชื่อพอล อัลเลน  ช่วยกันคิดช่วยกันเขียนโปรแกรมเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ประกอบเอง  เขาตั้งคำถามสำคัญว่า  “จะเกิดอะไรขึ้น  ถ้าคนเราทุกคน  มีคอมพิวเตอร์ราคาถูกใช้กัน”

.. บิล เกตส์  ในตอนนั้นยังเรียนในมหาวิทยาลัยแต่พอเกิดความคิดนั้นขึ้นมา  ก็เลิกเรียนเพื่อออกมาสานฝันทันที  โดยร่วมกับพอล อัลเลน  จัดตั้งบริษัทไมโครซอฟท์  เมื่อปี  ค.ศ. 1975  และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระดับโลก  บิล เกตส์  มีเป้าหมายชีวิตชัดเจน  รู้ความต้องการของตนเอง  และสามารถประเมินความรู้ความสามารถของตนเองได้  สามารถสร้างตัวเองจากคนที่ไม่รวย  จนเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก  ตอนอายุเพียง 39 ปี  บิล เกตส์  มีทุกวันนี้ได้เพราะเขามีความศรัทธา  มีความมุ่งมั่นปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้  มีวินัยในตัวเอง  ควบคุมตัวเองได้  มีความรู้  มีความเสียสละ  และมีปัญญา  เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องของความเป็นผู้รู้จักตนเอง


   4. ต้องเป็นผู้รู้จักประมาณ  (มัตตัญญู)  คือ  ประมาณกำลังความรู้ความสามารถของตนเองได้ว่าเรามีกำลังแค่ไหน  ในการจะทำอะไรสักอย่าง  ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  ยกตัวอย่างเช่น  การทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงผลตอบแทนเยอะ  ถ้าทำไม่ถูกจังหวะโอกาสที่จะล้มเหลวนั้นมีมาก  การประเมินสถานการณ์ด้วยความสุขุมรอบคอบ  ไม่น้อยไปและไม่มากไปเมื่อโอกาสมาถึง  สามารถคว้าโอกาสนั้นแล้วทำให้ดีที่สุดเต็มกำลังความสามารถ


   5. รู้จักกาล  (กาลัญญู)  มีความหมายเป็น 2 นัยยะ  คือ  รู้จักแบ่งเวลา  เพราะเวลาคือทรัพยากรที่เป็นต้นทุนที่สำคัญที่สุดของชีวิต  ทุกคนมีเท่ากันวันละ 24 ชั่วโมง  ผู้บริหารเวลาได้ดีชีวิตก็จะประสบความสำเร็จ  หรือพูดอีกนัยยะคือ  เป็นผู้รู้จังหวะในการทำเรื่องต่าง ๆ ได้ดี  ถูกจังหวะจะประสบความสำเร็จ  ถ้าทำผิดจังหวะก็จะล้มเหลว


   6. รู้จักชุมชน  (ปริสัญญู)  คือ  เข้าใจคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเราทั้งหมด  ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร  จะได้กลมกลืนกับเขาได้  เช่น  ถ้าทำธุรกิจก็ต้องเข้าใจลูกค้าเข้าใจคู่แข่ง  ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะประสบความสำเร็จในการทำงานทุกอย่าง


   7. รู้จักบุคคล  (ปุคคลัญญู)  คือ  รู้จักอัธยาศัยของคนที่เราจะติดต่อด้วย  ถ้าเป็นผู้บริหารก็ต้องใช้คนให้ถูกกับงาน  ถ้าเป็นผู้น้อยติดต่อกับผู้ใหญ่ก็ต้องรู้จักอัธยาศัยเขา  ทำอะไรก็จะได้ถูกใจ  ชีวิตก็จะก้าวหน้าประสบความสำเร็จ


.. ทั้ง 7 ข้อนี้รวมกันเป็นหลักธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้ตรัสไว้ในสัปปุริสธรรม 7 ประการ  คือ  เป็นผู้รู้จักเหตุ  รู้จักผล  รู้จักตน  รู้จักประมาณ  รู้จักกาล  รู้จักชุมชน  และรู้จักบุคคล  ใครก็ตามที่มีคุณสมบัติทั้ง 7 ข้อนี้  ได้ชื่อว่าเป็นสัตบุรุษ  คือ  เป็นทั้งคนดี  และคนเก่ง  จะทำการใด ๆ  ก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน

>> โปรดกดติดตาม เพื่อรับเรื่องราวดี ๆ ในครั้งต่อไป..


#หลวงพี่นะโม

#หนังสือจูนความคิดพิชิตความสำเร็จ 

#จูนความคิด #พิชิตความสำเร็จ #ความสำเร็จ #ความคิด #จูนความคิดพิชิตความสำเร็จ #tunningmind #successtory

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม