โควิด-19 กับชีวิต New Normal
หากคุณต้องตกงานหรือถูกเลิกจ้างจากพิษโควิด-19 คุณอาจกำลังรู้สึกเครียด หดหู่
หมดหวังและรู้สึกท้อแท้กับช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิต
เงินช่วยเหลือที่ได้รับมาอาจกำลังหมดไป ส่วนงานและแหล่งรายได้ใหม่ๆ ก็ยังดูไร้ความหวังในช่วงที่บริษัทห้างร้านต่างๆ ก็ต้องขาดทุนอย่างหนักจากวิกฤตเดียวกัน
ชีวิตของลูกจ้างและมนุษย์เงินเดือนจึงเหมือนมาถึงทางตัน
ทุกอย่างดูมืดมนจนไม่รู้ว่าจะเดินต่อได้อย่างไร
นี่คือสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากกำลังเผชิญร่วมกันอยู่ เป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นจากวิกฤตโควิด-19
และมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะทอดยาวต่อไปอีกนานนับปี
ข้อมูลจากธนาคารโลก ประจำประเทศไทย มิถุนายน
2563 คาดการณ์ไว้ว่าจะมีคนไทยราว 8.3
ล้านคนเสี่ยงตกงานและมีรายได้ลดลงจากวิกฤตครั้งนี้ ส่วนภาคธุรกิจต่างๆ ก็จะทรุดหนักไม่แพ้กัน
เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือ GDP จะหดตัวลงแรงถึง 5 % ในปีนี้
แม้ว่าล่าสุดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในประเทศไทยจะคลี่คลายลงจนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ
รัฐบาลตัดสินใจผ่อนปรนให้กิจกรรมและกิจการต่างๆ สามารถกลับมาเปิดให้บริการตามปกติแล้ว
แต่การใช้ชีวิตและปรับตัวของผู้คนหลังวิกฤตนั้น ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญ
ผู้คนต้องอาศัยกำลังใจและทัศนคติเชิงบวกอย่างมากในการสร้างเสริมพลังใจ ให้ชีวิตเดินหน้าต่อได้อย่างเป็นปกติสุขที่สุด
และคนที่สามารถลุกขึ้นยืนได้เร็วที่สุดหลังวิกฤตทุกครั้ง ก็มักจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย
วิธีการดำเนินชีวิตหลังจบวิกฤตโควิด-19
การใช้ชีวิตตามวิถีใหม่หรือ
New Normal คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนตั้งแต่ออกจากบ้านจนถึงเข้านอนโดยผู้คนจะต้องรักษาระยะห่างทางสังคม
(Social Distancing), สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน,
ลดการสัมผัสและเน้นการรักษาความสะอาด ขณะที่การใช้ชีวิตของผู้คนจะพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น
โดยมีปัจจัยหนุนจากการพัฒนาเทคโนโลยี 5G
ทำให้คนไทยสามารถนำเทคโนโลยีทันสมัยมาตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าออนไลน์แทนการไปจับจ่ายตามห้างหรือร้านค้าทั่วไป,
การสั่งอาหารมากินที่บ้านแทนการออกไปข้างนอก, การทำธุรกรรมทางการเงินด้วยแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟนแทนการใช้เงินสด
เพื่อลดและเลี่ยงสัมผัสเชื้อโรคบนธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ และการดูแลสุขภาพผ่านระบบแพทย์ทางไกลแทนการไปพบและปรึกษาแพทย์ตามสถานพยาบาล
เป็นต้น
การปรับตัวหลังจบวิกฤตโควิด-19
ด้วยเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตแบบใหม่
ทำให้ผู้คนต้องปรับตัวในด้านต่างๆ หลังโควิด-19 ดังต่อไปนี้
1.การทำงาน
สำหรับคนที่ยังมีงานทำอยู่
วิถีชีวิต New
Normal จะทำให้การทำงานที่บ้านหรือ Work From Home กลายเป็นมิติใหม่ของการทำงาน ผู้คนจะพัฒนาศักยภาพในด้านไอทีเพื่อให้สามารถทำงานที่บ้านได้ใกล้เคียงกับการนั่งทำงานในออฟฟิศ
ทั้งสามารถประชุมและสัมมนาออนไลน์ได้โดยไม่ต้องรวมตัวอยู่ในที่เดียวกัน
ซึ่งข้อดีของวิธีการทำงานแบบใหม่นี้คือ การลดความเสี่ยงติดเชื้อ, ประหยัดเวลา,
ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และยังทำให้มีเวลาได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้นด้วย
แต่สำหรับคนที่ตกงานหรือต้องหางานใหม่
วิกฤตนี้อาจทำให้ต้องเปลี่ยนอาชีพไปสู่ภาคธุรกิจที่กำลังเติบโตไปกับวิถีชีวิตแบบใหม่
เช่น การเลือกขายสินค้าออนไลน์, รับทำอาหารจัดส่งถึงที่หรือเดลิเวอรี่, รับส่งสิ่งของ
หรือการเป็นแอดมินเพจให้กับเว็บไซต์ธุรกิจต่างๆ ซึ่งอาชีพเหล่านี้ยังคงมีความต้องการสูงในช่วงหลังโควิด-19
2.
การศึกษา มาถึงจุดที่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่
โดยใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อกลางในการเรียนการสอน มีการแบ่งกะเวลาเรียน เพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม
การเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาของไทยหลังโควิด-19
นี้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้เด็กไทยได้มีโอกาสคิดวิเคราะห์และเน้นการค้นคว้าด้วยตนเองมากขึ้น
ความรู้และทักษะที่นักเรียน –
นักศึกษาจะได้รับย่อมกว้างและลึกกว่าที่เคยได้รับจากการนั่งเรียนในห้องเรียนแน่นอน
3.
ผู้คนมีทักษะหลากหลายด้านมากขึ้น สิ่งนี้น่าจะถือว่าเป็นผลพวงมาจากการต้องหยุดอยู่ที่บ้าน
เวลาว่างที่เพิ่มขึ้นมานั้น ทำให้หลายคนได้พัฒนาฝึกฝนทักษะที่แฝงอยู่ในตัว อาทิ
การทำอาหาร, ปลูกต้นไม้, ทำสวนหรือเย็บผ้า
หลายคนผันตัวไปทำธุรกิจออนไลน์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งหากสามารถพัฒนาทักษะความถนัดตามไลฟ์สไตล์ที่โปรดปรานไปสู่อาชีพได้
ก็จะทำให้มีความสุขไปกับการทำงานมากขึ้น
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือการมีอาชีพที่หลากหลายจะทำให้เกิดรายได้จากหลายช่องทาง
ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากผลกระทบหากถูกเลิกจ้างหรือลดเงินเดือนได้เป็นอย่างดี
4.ผู้คนหันมาสู่วิถีพอเพียง
ด้วยพื้นฐานของเศรษฐกิจที่มีปัญหามากขึ้น ประกอบกับผู้คนมีความตระหนักกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น
ทำให้วิถีเศรษฐกิจพอเพียงจะกลับมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวของผู้คนหลังยุคโควิด-19
สวนทางกับความฟุ้งเฟ้อที่จะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ ดังจะเห็นได้ว่าผู้คนได้หันมาใส่ใจอาหารการกิน
เลือกปรุงอาหารจากพืชผักที่ปลูกเองในบ้าน, ออกกำลังกายและดูแลสุขภาพมากขึ้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นปราการป้องกันโควิด-19 ได้เท่านั้น
หากแต่จะช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้กับคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มโรค NCD’s (non-communicable
diseases) ที่คร่าชีวิตคนไทยถึง 320,000 คนต่อปี
(ข้อมูลจากกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค)
เป้าหมายข้างหน้ากับการใช้ชีวิตหลังจบโควิด-19
โควิด-19 สำหรับบางคน อาจเป็น “ไวรัสร้าย”
ที่ทำลายโลก แต่หากมองในมุมต่าง จะพบว่าสิ่งนี้คือจุดพลิกผันให้ผู้คนที่เคยเพลิดเพลินกับความสุขแบบฉาบฉวย
เคยชินกับการใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่ค่อยระมัดระวังอันตรายรอบตัว และฟุ้งเฟ้อไปกับวัตถุนิยมต่างๆ ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าชีวิตหลังจากนี้ต้องตั้งเป้าหมายใหม่หรือไม่ เช่น
มองเห็นทิศทางของธุรกิจที่เสี่ยงมากเสี่ยงน้อย มองเห็นถึงความต้องการตนเองว่าต้องการทำสิ่งใดต่อไปในชีวิตตนเอง
ครอบครัวและการทำงาน โดยผู้คนต่างมองเป้าหมายใหม่ก็คือ
จะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไรหากมีวิกฤตการณ์เช่นนี้หรือหนักกว่านี้เกิดขึ้นอีก
การระมัดระวังตัวเองเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี การเลือกงานที่มีความมั่นคงมากกว่าเดิมหรือมีอาชีพที่สองสำรองไว้
การบริหารการเงินส่วนบุคคล การประกันภัยความเสี่ยงต่าง ๆ รวมถึงการเตรียมเงินทุนสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินเช่นที่ผ่านมา
มีหลักในการดำเนินชีวิตที่น่าสนใจศึกษาและลงมือทำได้ไม่ยาก
เรียกง่ายๆว่า หลักความดีสากล 5 ประการ (Universal Goodness) ซึ่งจะสามารถนำพาความสุขความสำเร็จมาสู่ชีวิตผู้คนได้
นั่นก็คือ
1.
ความสะอาด เป็นปราการสำคัญด่านแรกที่จะช่วยป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกายหรือสมาชิกในครอบครัวได้
ผู้คนจึงต้องหันมาปรับพฤติกรรมให้รักความสะอาดและรักษาสุขภาพอนามัยให้ดียิ่งขึ้น
2.
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย จะทำให้การจัดระเบียบต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้นรวมถึงการจัดระยะห่างทางสังคมที่เป็นเงื่อนไขสำคัญของการป้องกันโควิด-19
และโรคติดต่อทุกชนิดด้วย
3.
ความสุภาพ ที่ไม่เป็นเพียงการแสดงกริยาวาจาอย่างนอบน้อมเท่านั้น
หากแต่ยังต้องมีความคิดและทัศนคติที่ตระหนักถึงผลกระทบต่อผู้อื่นเสมอ
เพราะหากทุกคนต่างใส่ใจว่าคนอื่นในสังคมจะได้รับผลกระทบจากการกระทำของตนเองหรือไม่
ก็จะช่วยให้ลดปัญหาต่างๆ ลงได้มาก รวมถึงปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดต่อด้วย
4.
ความตรงต่อเวลา
ความดีในด้านนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญกับการทำธุรกิจการงานเท่านั้น
หากแต่ยังจำเป็นในสังคมหลังมีโรคระบาดใหญ่ด้วย
เนื่องจากทุกโรคติดต่อจะมีระยะเวลาในการฟักตัวและการแพร่กระจาย
หากจำเป็นต้องหยุดพบปะผู้คนในช่วงเวลาแพร่กระจายของเชื้อ ก็จำเป็นต้องทำให้ครบตามกำหนด
หากไม่ตรงเวลาหรือไม่ซื่อสัตย์ต่อกำหนดเวลาแล้ว ก็จะทำให้เกิดผลกระทบใหญ่ตามมาได้ง่ายๆ
5.สมาธิ
เป็นตัวช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ไม่ว่าจะทุกข์หนักแค่ไหนจากผลกระทบที่เกิดขึ้น หากสามารถเยียวยาด้วยสมาธิและฝึกให้เคยชินจนเป็นนิสัย
ก็จะทำให้สามารถปล่อยวางกับความทุกข์ทุกเรื่องได้โดยง่าย ผลที่ตามมาคือ สุขภาพร่างกายและจิตใจ
จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าโควิด-19
จะสร้างผลกระทบและความทุกข์อย่างหนักให้กับผู้คน
แต่ก็ทำให้ผู้คนได้เรียนรู้การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ใครที่เจอปัญหาหนัก
ๆ จากวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ ขอเพียงมีจิตใจที่เข้มแข็ง เพื่อพยุงตัวเองให้ยืนขึ้นอย่างมั่นคงได้อีกครั้ง
ก็จะสามารถเดินก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมีความสุข
#NAMOCHANNEL
#Sun Eye
สาธุๆๆ
ตอบลบขอขอบคุณ บทความที่ให้ความรู้ในการใช้ชีวิตแบบ New Normal จากบล็อกนี้ด้วยค่ะ
ตอบลบต้องยอมรับชีวิตที่เปลี่ยนแปลง เพื่อชีวิตที่ดี
ตอบลบ